Skip to Content

พระราชกฤษฎีกา ฯ (ฉบับที่ 677) พ.ศ. 2562 ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์และธนาคารพาณิชย์ที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการให้แก่กัน

พระราชกฤษฎีกา

ออกตามความในประมวลรัษฎากร

ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 677)

.ศ. 2562

 ----------------------

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

ให้ไว้ ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เป็นปีที่ 4 ในรัชกาลปัจจุบัน

 

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่เป็นการสมควรยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ บางกรณี

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 677) พ.ศ. 2562”

มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ในพระราชกฤษฎีกานี้

“ธนาคารพาณิชย์” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินแต่ไม่หมายความรวมถึงสาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์

มาตรา 4 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ สำหรับผลประโยชน์ที่ได้จากการที่ธนาคารพาณิชย์ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน

มาตรา 5 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ภาษีธุรกิจเฉพาะตามหมวด 5 และอากรแสตมป์ตามหมวด 6 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ สำหรับเงินได้พึงประเมิน รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน

มาตรา 6 ให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 ภาษีธุรกิจเฉพาะตามหมวด 5 และอากรแสตมป์ตามหมวด 6 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ สำหรับมูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์โอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน

มาตรา 7 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุน หรือการเปลี่ยนแปลงหรือทำให้ดีขึ้น ซึ่งทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการควบเข้ากันหรือการรับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี ให้แก่

(1) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าหนึ่งล้านล้านบาทแต่ไม่เกินสองล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละยี่สิบห้าของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง

(2) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าสองล้านล้านบาทแต่ไม่เกินสามล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง

(3) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าสามล้านล้านบาทแต่ไม่เกินสี่ล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละเจ็ดสิบห้าของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง หรือ

(4) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าสี่ล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริงรายจ่ายตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือการเปลี่ยนแปลงหรือทำให้ดีขึ้นซึ่งอาคารถาวร แต่ไม่รวมถึงที่ดินและอาคารถาวรที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัยและต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้

(1) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต้องไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน

(2) ต้องสามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากรและต้องได้ทรัพย์สินนั้นมาและอยู่ในสภาพพร้อมใช้การตามประสงค์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

(3) ไม่เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

มาตรา 8 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการเลิกหรือการปรับปรุงแก้ไขสัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า สัญญาจ้างทำของ หรือสัญญาบำรุงรักษา ที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือที่เกี่ยวข้องกับธนาคารพาณิชย์ อันเนื่องมาจากการควบเข้ากันหรือการรับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน ให้แก่

(1) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าหนึ่งล้านล้านบาทแต่ไม่เกินสองล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละยี่สิบห้าของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง

(2) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าสองล้านล้านบาทแต่ไม่เกินสามล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง

(3) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าสามล้านล้านบาทแต่ไม่เกินสี่ล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละเจ็ดสิบห้าของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง หรือ

(4) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าสี่ล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง

มาตรา 9 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการรื้อถอนเครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์ อันเนื่องมาจากการควบเข้ากันหรือการรับโอนกิจการทั้งหมด หรือบางส่วน ให้แก่

(1) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าหนึ่งล้านล้านบาทแต่ไม่เกินสองล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละยี่สิบห้าของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง

(2) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าสองล้านล้านบาทแต่ไม่เกินสามล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง

(3) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าสามล้านล้านบาทแต่ไม่เกินสี่ล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละเจ็ดสิบห้าของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง หรือ

(4) ธนาคารพาณิชย์ที่เกิดจากการควบเข้ากันหรือที่รับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่มีสินทรัพย์รวมเกินกว่าสี่ล้านล้านบาท เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง

มาตรา 10 การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สาหรับเงินได้ตามมาตรา 7 มาตรา 8 และมาตรา 9 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข และระยะเวลาตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 11 การยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ตามพระราชกฤษฎีกานี้ ให้ใช้เฉพาะธนาคารพาณิชย์หรือผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งได้รับความเห็นชอบให้ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่กันจากธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และต้องควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่กันแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564

มาตรา 12 การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายตามมาตรา 7 มาตรา 8 และมาตรา 9 ต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 13 ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 7 มาตรา 8 หรือมาตรา 9 และต่อมาไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 10 หรือมาตรา 12 ในรอบ
ระยะเวลาบัญชีใด ให้สิทธิที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้สิ้นสุดลงและธนาคารพาณิชย์นั้นจะต้องนำเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ไปแล้วไปรวมเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธินั้น เว้นแต่กรณีที่มีการขายทรัพย์สินหรือทรัพย์สินถูกทำลายหรือสูญหายหรือสิ้นสภาพ ให้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นั้นสิ้นสุดลงนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ขายทรัพย์สินหรือทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือสูญหายหรือสิ้นสภาพ แล้วแต่กรณี โดยไม่ต้องนำเงินได้ที่ได้รับจากการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ที่ได้รับแล้วไปรวมเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิอีก

มาตรา 14 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้

 

 ผู้รับสนองพระราชโองการ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

       นายกรัฐมนตรี

 

------------------------------------------------------------------------------------- 

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรสนับสนุนการควบรวมธนาคารพาณิชย์ไทย เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบการเงินของประเทศมีความพร้อมรองรับการแข่งขันในระดับประเทศมากยิ่งขึ้น ในการนี้ เพื่อเป็นการลดอุปสรรคและส่งเสริมการควบเข้ากันหรือโอนกิจการให้แก่กันของธนาคารพาณิชย์ สมควรยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์และธนาคารพาณิชย์ที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการให้แก่กัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

 

(เล่ม 136 ตอนที่ 21 ก ราชกิจจานุเบกษา 20 กุมภาพันธ์ 2562)

Get notified when new articles are added to the knowledge base.

Powered by PHPKB (Knowledge Base Software)