Skip to Content

พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 628) พ.ศ. 2560 ลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ

พระราชกฤษฎีกา

ออกตามความในประมวลรัษฎากร

ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 628)

.ศ. 2560

_______________

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

ให้ไว้ ณ วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560

เป็นปีที่ 2 ในรัชกาลปัจจุบัน

 

    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

    โดยที่เป็นการสมควรลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ บางกรณี

    อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 และมาตรา 3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 628) พ.ศ. 2560”

มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ในพระราชกฤษฎีกานี้

“สถานประกอบกิจการ” หมายความว่า สถานที่ซึ่งผู้ประกอบกิจการใช้ประกอบกิจการเป็นประจำหรือสถานที่ซึ่งใช้เป็นที่ผลิตสินค้าเป็นประจำ

“เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ” หมายความว่า ท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา

มาตรา 4 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ในการหักภาษี ณ ที่จ่าย และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละสามของเงินได้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ผู้มีเงินได้ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ซึ่งเมื่อคำนวณภาษีตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีในอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สูงกว่าร้อยละสามของเงินได้ ทั้งนี้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามวรรคหนึ่ง เมื่อคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายน้อยกว่าร้อยละสามของเงินได้ ให้ผู้มีเงินได้มีสิทธิได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ เมื่อผู้มีเงินได้นั้นยอมให้ผู้จ่ายเงินได้หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละสามของเงินได้นั้น

มาตรา 5 ให้ผู้มีเงินได้ซึ่งถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้แล้วในอัตราร้อยละสามของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 4 เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืนหรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

ในกรณีที่ผู้มีเงินได้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากรไว้แล้ว และมีสิทธิเลือกเสียภาษี ตามมาตรา 48 (3) และ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้มีเงินได้จะมีสิทธิได้รับการยกเว้นตามวรรคหนึ่งเมื่อปรากฏว่าในการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน ผู้มีเงินได้มิได้นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร และเงินได้พึงประเมินที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 4มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ โดยต้องไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืน หรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

ในการได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ผู้มีเงินได้ต้องยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ด้วย

มาตรา 6 ผู้มีเงินได้ที่จะได้รับสิทธิตามมาตรา 4 และมาตรา 5 ต้องมีคุณสมบัติและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังนี้

(1) เป็นแรงงานฝีมือหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

(2) เป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานโดยมีระยะเวลาการทำงานไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจและปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างแรงงานในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นได้แจ้งการจ้างลูกจ้างดังกล่าวต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจก่อนจ่ายเงินได้ให้ลูกจ้างครั้งแรกของการจ้างแรงงาน โดยผู้มีเงินได้ดังกล่าวจะได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่นั้นได้รับแจ้งจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น

(3) ก่อนเข้าทำงานกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม (2) เป็นแห่งแรกนับตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ผู้มีเงินได้ต้องมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจและไม่ได้ทำงานอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ หรือกรณีผู้มีเงินได้ได้ทำงานในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจมาก่อนการเข้าทำงานกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม (2) จะต้องเป็นการเข้าทำงานเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่การจ้างงานในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจครั้งก่อนได้สิ้นสุดลง

(4) ในปีภาษีที่ผู้มีเงินได้ใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ ผู้มีเงินได้ต้องอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีนั้น โดยต้องมีหลักฐานการอยู่อาศัยที่ได้รับการรับรองจากนายจ้างหรือเจ้าของสถานที่ที่พักอาศัยและเก็บหลักฐานนั้นไว้เพื่อให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบ

(5) กรณีประสงค์จะยกเลิกการใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม (2) แจ้งต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ได้แจ้งการจ้างลูกจ้างเพื่อขอใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้

(6) ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 7 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่มีสถานประกอบกิจการอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายจริง ดังนี้

(1) สำหรับเงินลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนซึ่งเป็นการเพิ่มทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่นที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเท่านั้น โดยไม่รวมถึงหุ้นบุริมสิทธิและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องนำเงินลงทุนไปใช้ในการประกอบกิจการในเขตพัฒนาพิเศษ|เฉพาะกิจเท่านั้น

(2) สำหรับเงินลงทุนเพื่อจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเท่านั้น และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นนั้นต้องนำเงินลงทุนไปใช้ในการประกอบกิจการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเท่านั้น

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีตามวรรคหนึ่ง ต้องไม่ขายหรือโอนหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ลงทุน เว้นแต่ได้ขายหรือโอนหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ลงทุนโดยมีเหตุอันสมควรตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

ทั้งนี้ ต้องเป็นการลงทุนตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 8 กรณีที่มีการใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้หรือยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้ และต่อมาไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 และมาตรา 7 ในปีภาษีใด หรือรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้วแต่กรณี ให้มีผลดังนี้

 (1) กรณีไม่ปฏิบัติตามมาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6 ในปีภาษีใด ให้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้เป็นอันระงับไปเฉพาะปีภาษีนั้น

(2) กรณีไม่ปฏิบัติตามมาตรา 7 ให้สิทธิที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้สิ้นสุดลง และให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ไปแล้วมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธินั้น

มาตรา 9 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้

 

  ผู้รับสนองพระราชโองการ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

       นายกรัฐมนตรี

___________________________________________________________________________________

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ โดยให้บุคลากรที่เป็นแรงงานฝีมือและผู้เชี่ยวชาญที่อยู่นอกเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจไปทำงานประจำในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ และให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่อยู่นอกเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจไปลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ สมควรลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก
ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้ที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานในเขตดังกล่าว บางกรณี และยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายจริงสำหรับการลงทุนในเขตดังกล่าว บางกรณี จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

 

(ร.จ. ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 134 ตอนที่ 12 ก วันที่ 27 มกราคม 2560)

Get notified when new articles are added to the knowledge base.

Powered by PHPKB (Knowledge Base Software)