แปลงเงินตราต่างประเทศเป็นเงินไทย ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีผลต่างที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีผลต่างที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราข้อเท็จจริงธนาคารต่างประเทศได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเป็นกิจการวิเทศธนกิจโดยตั้งเป็นสาขา วิเทศธนกิจในประเทศไทย การรับฝากเงินตราของธนาคารนั้นจะรับฝากเป็นเงินตราต่างประเทศ ธนาคารมีรอบระยะเวลาบัญชีแรกเริ่มตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2540 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม 2540 และ รอบระยะเวลาบัญชีต่อไปสิ้นสุด วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี ธนาคารฯ ได้เปิดดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2540 ได้นำเงินเข้ามาเพื่อเป็น เงินทุนของธนาคารโดยนำเข้ามาเป็นเงินตราเหรียญดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 20,000,000 ซึ่ง อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้นเงินตราต่างประเทศประมาณ 25.75 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้บันทึก เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ต่อมา ณ วันสิ้นรอบบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนเป็นประมาณ 40.914 บาท ต่อหนึ่ง ดอลลาร์สหรัฐ มีความเข้าใจว่า กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารสามารถบันทึกบัญชีเป็นดอลลาร์สหรัฐหรือ เงินบาทก็ได้ หากต่อมา ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนได้เปลี่ยนแปลงไปจาก ณ วันที่ ธนาคารได้นำเงินทุนเข้ามา ผลต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดรายได้และ ค่าใช้จ่ายเนื่องจากบัญชีหลัก (Main Book) ของกิจการวิเทศธนกิจซึ่งได้บันทึกเป็นดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจาก 1. กรณีที่ธนาคารฯ บันทึกบัญชีเป็นดอลลาร์สหรัฐ แม้จะมีการแปลงค่าเงินทุนเป็นเงินบาท ในงบการเงิน ธนาคารจะไม่มีกำไรขาดทุนจากผลต่างจากอัตราแลกเปลี่ยน 2. หากธนาคารฯ บันทึกบัญชีเป็นเงินบาท โดยแปลงค่าเงินทุนที่นำเข้าด้วย อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันนำเข้า แต่ในด้านเงินทุนนั้นธนาคารยังถือเงินตราต่างประเทศอยู่ และเมื่อสิ้น รอบระยะเวลาบัญชี ธนาคารจะแปลงค่าเงินตราต่างประเทศ ทั้งทางด้านสินทรัพย์ หนี้สิน และทุนของ ธนาคาร โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี โดยทุนนั้นธนาคารถือว่าเป็นเงินตรา ต่างประเทศที่ธนาคารถืออยู่ การแปลงค่านี้จะทำให้ไม่มีกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนคือเป็นการแปลง ค่าเงินตราต่างประเทศที่เป็นทุนแปลงค่าทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมกัน จึงขอทราบว่า ความเข้าใจของธนาคารดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาตรา 65 ทวิ (5), คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540ฯแนววินิจฉัยกรณีตามข้อเท็จจริง ธนาคารฯ มีเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สิน ซึ่งมีค่าหรือราคาเป็น เงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณค่าหรือราคาของเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินเป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อและอัตราขายของธนาคารพาณิชย์ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ ผลของการคำนวณ ถ้ามีผลกำไรหรือขาดทุนจากการคำนวณค่า หรือราคาดังกล่าว ให้นำมารวมคำนวณเป็นรายได้หรือรายจ่ายแล้วแต่กรณี ในรอบระยะเวลาบัญชี ดังกล่าวได้ทั้งจำนวน ตามมาตรา 65 ทวิ (5) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 1 ของ คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540 เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณรายได้และรายจ่ายของ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ดังนั้น ธนาคารฯ จึงไม่มีสิทธิที่จะไม่ปรับปรุงผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีแต่อย่างใด ที่มา:หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0811/13128 ลงวันที่ 08 กันยายน 2541 |