เงินได้พึงประเมิน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเฉลี่ยสัดส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยในเงินที่ได้รับจากการขายทอดตลาด
เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเฉลี่ยสัดส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยในเงินที่ได้รับจากการขายทอดตลาดข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2533 นางสาว อ. ได้ให้นาง จ. กู้ยืมเงินจำนวน 3,900,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดยนำที่ดินโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้าง มาจดทะเบียนจำนอง กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนหนึ่งปี แต่นาง จ. ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด นางสาว อ. จึงได้ยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งศาลมีคำพิพากษา และสำนักงานบังคับคดีจังหวัดได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2546 ในราคา 3,000,000 บาท ซึ่งนางสาว อ. ได้รับเงินชดใช้เป็นจำนวนเงิน 2,831,288 บาท เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2546 จึงขอหารือว่า กรณีนางสาว อ. ได้รับเงินจากการขายทอดตลาด เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2546 จำนวนเงิน 2,831,288 บาท จะต้องเฉลี่ยสัดส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยหรือไม่ และมีวิธีการอย่างไร กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาตรา 40(4)(ก) มาตรา 56 และมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากรแนววินิจฉัย1. นางสาว อ. ได้รับเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินมาชำระหนี้จำนวนเงิน 2,831,288 บาท เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2546 เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากเงินที่ได้รับดังกล่าวไม่เพียงพอจะชำระหนี้ได้ทั้งหมด ตามมาตรา 329 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้นำเงินที่ได้มาชำระค่าดอกเบี้ยก่อนหนี้ประธาน จึงไม่มีกรณีต้องเฉลี่ยเงินต้นและดอกเบี้ยแต่อย่างใด และเงินที่นางสาว อ. ได้รับจากการขายทอดตลาดทรัพย์สิน เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร นางสาว อ. ต้องนำมารวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2546 ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร 2. นางสาว อ. ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2535 - 2540 โดยแสดงรายรับจากดอกเบี้ยเงินกู้ รวมจำนวนเงินภาษีที่ชำระ 304,500 บาท หากนางสาว อ. มิได้มีเงินได้ประเภทดอกเบี้ยเงินกู้ยืมในปีดังกล่าว จึงเป็นกรณีไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี นางสาว อ. มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนภาษีอากรภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลาการยื่นรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ที่มา:หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0706/5902 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2550 |