รายจ่าย ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีให้บริการโฆษณาผลิตภัณฑ์สินค้าร่วมกัน
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีให้บริการโฆษณาผลิตภัณฑ์สินค้าร่วมกันข้อเท็จจริงลูกค้าของบริษัท บ. ผลิตสินค้าประเภทเครื่องดื่ม เช่น เบียร์ โซดา น้ำดื่ม ได้มีนโยบายใน การปรับปรุงโครงสร้างและระบบการบริหารของบริษัทใหม่เพื่อรองรับการแข่งขันในกิจการประเภท เครื่องดื่มโดยจะให้บริษัทในเครือเป็นผู้ผลิตสินค้าภายใต้ชื่อและเครื่องหมายการค้า ส่วนบริษัท บ. จะ เป็นผู้ดูแลและกำกับเฉพาะนโยบายในด้านการประชาสัมพันธ์ชื่อและเครื่องหมายการค้า การดูแลกำกับ การ สั่งการใด ๆ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เครื่องหมายการค้า แสวงหาข้อมูลด้านการตลาดหรือข้อมูล ต่าง ๆ ในทางการค้า กำหนดแผนการตลาด ติดต่อกับสื่อหรือเอเย่นต์บริษัทผู้รับทำโฆษณา (Agency) เกี่ยวกับแผนการตลาดและกิจกรรมต่าง ๆ ในและต่างประเทศ ตรวจสอบการทำงานและประสิทธิภาพ ของสื่อ และตรวจสอบ บิล และใบแจ้งหนี้จากบริษัทโฆษณาหรือบริษัทสื่อต่าง ๆ เพื่อจัดเก็บค่าใช้จ่ายด้าน การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาตกลง จะร่วมกันรับผิดชอบโดยการเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้ ก. ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่บริษัท บ. ได้จ่ายจริงและจ่ายเพื่อการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดเท่านั้น ข. ค่าใช้จ่ายโฆษณาของผลิตภัณฑ์ชนิดใดมีการผลิต ณ โรงงานของบริษัทในเครือหลายแห่ง ให้คิดถัวเฉลี่ยตามยอดขายของแต่ละบริษัทในเครือ และแต่ละชนิดผลิตภัณฑ์ ค. การคิดคำนวณและเรียกเก็บส่วนเฉลี่ยค่าโฆษณาภายใต้สัญญานี้ บริษัท บ . จะคิด ค่าบริการหรือบวกกำไรหรือส่วนเพิ่มตามสมควร บริษัทฯ จึงขอทราบว่า 1. วิธีการในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายของบริษัท บ. ข้างต้น เข้าลักษณะเป็นการให้บริการ รับจ้างโฆษณา บริษัทในเครือมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 2.0 ของจำนวนเงินที่จ่าย ถูกต้อง หรือไม่ อย่างไร พร้อมทั้งเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย 2. ภาษีซื้อจากการโฆษณาตามใบกำกับภาษีที่บริษัทโฆษณาหรือบริษัทสื่อโฆษณาได้ออกให้กับ บริษัท บ. บริษัท บ. มีสิทธินำภาษีซื้อดังกล่าวไปใช้ในการคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้ และเมื่อ บริษัท บ. เรียกเก็บเงินจากบริษัทในเครือใบกำกับภาษีที่บริษัท บ. ได้ออกให้ บริษัทในเครือมีสิทธินำไป ใช้หรือขอเครดิตภาษีต่อไปได้ 3. หากบริษัท บ. ไม่มีการเรียกเก็บส่วนต่างหรือค่าบริการใด ๆ บริษัท ในเครือไม่มีหน้าที่ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เนื่องจากไม่มีกำไรหรือเป็นการทดรองจ่ายแทนบริษัทในเครือถูกต้องหรือไม่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาตรา 65 ตรี (13), มาตรา 65, มาตรา 77/2, มาตรา 82/4แนววินิจฉัย1. กรณีบริษัท บ. ได้ตกลงกับบริษัทในเครือซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าประเภทเครื่องดื่มภายใต้ชื่อ และเครื่องหมายการค้าของบริษัท บ. โดยบริษัท บ. จะเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องของการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สินค้าภายใต้ชื่อและเครื่องหมายการค้าดังกล่าว รายจ่ายสำหรับการโฆษณาที่บริษัท บ. ได้จ่ายไป จึงเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 และมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น เมื่อบริษัท บ. ได้จ่ายค่าโฆษณาตามข้อเท็จจริงดังกล่าว บริษัท บ. มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งกรมสรรพากรในอัตราร้อยละ 2.0 ของยอดเงินที่จ่าย นั้น ตามข้อ 10 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 สำหรับภาษีซื้อที่บริษัท บ. ถูกเรียกเก็บจากผู้ประกอบกิจการให้บริการโฆษณา ภาษีซื้อดังกล่าวบริษัท บ. มีสิทธินำไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ตามมาตรา 82/3 แห่ง ประมวลรัษฎากร 2. กรณีบริษัท บ. ได้เรียกเก็บเงินจากบริษัทในเครือตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บริษัท บ. และบริษัทในเครือได้ตกลงกัน เนื่องจากเงินที่บริษัท บ. ได้เรียกเก็บตามสัญญาดังกล่าว เป็นเรื่องของ กิจการการให้บริการโฆษณาโดยตรง ดังนั้น เมื่อบริษัทในเครือได้จ่ายเงินค่าโฆษณาให้กับบริษัท บ. ตาม สัญญาดังกล่าว บริษัทในเครือมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งในอัตราร้อยละ 2.0 ของ ยอดเงินได้ที่จ่ายนั้น ทั้งนี้ ตามข้อ 10 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ท.ป.4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 บริษัท บ. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการตามสัญญาดังกล่าวมีหน้าที่ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก บริษัทในเครือซึ่งเป็นผู้รับบริการ ทั้งนี้ ตามมาตรา 77/2 และมาตรา 82/4 แห่งประมวลรัษฎากร โดย ภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทในเครือถูกเรียกเก็บย่อมเป็นภาษีซื้อของบริษัทในเครือเพื่อนำไปหักกับภาษีขายใน การคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร 3. หากบริษัท บ. ได้มีการเรียกเก็บเงินตามสัญญาดังกล่าว โดยมิได้มีการเรียกเก็บส่วนต่าง หรือค่าบริการใด ๆ เพิ่มเติมจากที่บริษัท บ. ได้จ่ายไปจริง บริษัทในเครือก็ยังคงมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งในอัตราร้อยละ 2.0 ของยอดเงินได้ที่จ่ายนั้น ทั้งนี้ ตามข้อ 10 ของ คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ที่มา:หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0811/3713 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 |