ประมาณการกำไรสุทธิขาดไป ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 50
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 50ข้อเท็จจริงบริษัท ก. ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตามบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ลงวันที่ 18 เมษายน 2537 และเงื่อนไขลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537 บริษัทฯ มีรายได้จากการประกอบกิจการทั้งประเภทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน โดยคำนวณกำไรสุทธิของแต่ละกิจการแยกต่างหากจากกัน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดบริษัทฯ ได้รับสิทธิและประโยชน์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนพ.ศ. 2520 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2544 โดยสรุปมีดังต่อไปนี้ มาตรา 31 ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมมีกำหนดเวลา 8 ปี (เฉพาะส่วนที่ส่งออก) นับแต่วันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการนั้น มาตรา 35 (1) ให้ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติมีกำหนด 5 ปี นับจากวันที่พ้นกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง (เฉพาะส่วนที่ส่งออก) เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน บริษัทฯ มีอัตราภาษีที่ใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล 2 อัตรา คือ อัตราร้อยละ 30 สำหรับกำไรสุทธิของกิจการที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและอัตราร้อยละ 15 สำหรับ กำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน จึงมีปัญหาว่า 1. การเปรียบเทียบแสดงประมาณการกำไรสุทธิ ขาดไปเกินกว่าร้อยละ 25 ตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ต้องพิจารณาเปรียบเทียบอย่างไร จากข้อเท็จจริง ดังนี้ รอบระยะเวลาบัญชี 1 มกราคม 2548 - 31ธันวาคม 2548 กิจการได้รับส่งเสริมการลงทุนลดอัตราภาษี 50% (อัตราภาษีที่ชำระ 15%) กิจการไม่ได้รับส่งเสริมการลงทุน เสียภาษีปกติ (อัตราภาษีที่ชำระ30%) รวมทั้งสิ้น 1.กำไรสุทธิ ภ.ง.ด.50 3,315,856,944.00 3,528,156,008.00 6,844,012,952.00 2.ประมาณการกำไรสุทธิ ภ.ง.ด. 51 642,924,975.00 1,694,984,025.00 2,337,909,000.00 3.ประมาณการกำไรสุทธิขาดไป 2,672,931,969.00 1,833,171,983.00 4,506,103,952.00 4.คิดเป็นอัตราร้อยละ 80.61 51.96 65.84 2. การพิจารณา "เหตุอันสมควร" ตามข้อ 1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.50/2537 เรื่อง แนวทางการพิจารณา "เหตุอันสมควร" กรณีแสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2537 ต้องพิจารณาอย่างไร จากข้อเท็จจริง ดังนี้ รอบระยะเวลาบัญชี 1 มกราคม - 31 ธันวาคม ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ กิจการได้รับส่งเสริมการลงทุนลดอัตราภาษี 50% (อัตราภาษีที่ชำระ 15%) กิจการไม่ได้รับส่งเสริมการลงทุนเสียภาษีปกติ (อัตราภาษี ที่ชำระ30%) รวมทั้งสิ้นรอบบัญชีปี 2547 ภ.ง.ด. 50 398,386,545.00 0.00 398,386,545.00 รอบบัญชีปี 2548 ภ.ง.ด. 51 96,438,746.50 153,561,253.50 250,000,000.00 ประมาณการเสียภาษีเงินได้ ภ.ง.ด. 51 รอบบัญชีปี 2548 น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ภ.ง.ด. 50 ปี 2547 - ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ภ.ง.ด. 50 ปี 2547 กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากรแนววินิจฉัย1. กรณีบริษัทฯ ได้รับการส่งเสริมการลงทุนประกอบกิจการทั้งที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (เฉพาะส่วนที่ส่งออก) และที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาได้รับ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน และอยู่ในระยะเวลาได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับกำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของ อัตราปกติ มีกำหนด 5 ปี ตามมาตรา 31 และมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว 2. ตามข้อ 1 กรณีบริษัทฯ ได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2548 ขาดไปร้อยละ 65.84 ของกำไรสุทธิรวม เข้าลักษณะบริษัทฯ ได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิรวม ซึ่งได้จากกิจการ หรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น กรณีไม่มีเหตุอันสมควร บริษัทฯ จะต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนเงินภาษีที่ชำระขาดตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร 3. ตามข้อ 2 กรณีการพิจารณาเหตุอันสมควรตามข้อ 1 ของคำสั่งกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว กำหนดว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิ และยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีครึ่งปีไว้ ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วให้ถือว่า เป็นกรณีมีเหตุอันสมควร เมื่อบริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลรวม ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2547 (ภ.ง.ด.50) จำนวน 398,386,545.00 บาท และยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีรวมในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2548 (ภ.ง.ด.51) จำนวน 250,000,000.00 บาท จึงเข้าลักษณะบริษัทฯ ได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิ และยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีครึ่งปีไว้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว ถือว่า เป็นกรณีมีเหตุอันสมควร ตามข้อ 1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ฉบับดังกล่าว บริษัทฯ ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนเงินภาษีที่ชำระขาดตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ที่มา:หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0706(กม.02)/3106 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2550 |