Skip to Content

จ้างทำของ ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการรับประกันภัยรถยนต์

เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการรับประกันภัยรถยนต์


ข้อเท็จจริง

1. บริษัทฯ รับทำกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์กับบริษัท ก. ผู้เอาประกันภัยเมื่อรถยนต์คัน

ดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุ บริษัทฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบชำระค่าซ่อมให้แก่อู่ซ่อมรถ โดยบริษัทฯ จะคำนวณหัก

ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าซ่อมทั้งหมด ในกรณีนี้บริษัท ก. ต้องรับผิดใน

ค่าเสียหายส่วนแรกตามเงื่อนไขในกรมธรรม์เป็นเงินจำนวน 3,000 บาท เงินจำนวนดังกล่าวนี้เมื่อ

บริษัทฯ เรียกเก็บคืนจากบริษัท ก. มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่

2. บริษัทฯ รับทำกรมธรรม์ประกันภัยกับผู้เอาประกันภัยรายเดียวกันหลายกรมธรรม์ เช่น

กรมธรรม์ 3 ฉบับ ค่าเบี้ยประกันภัยฉบับละ 400 บาท หากผู้เอาประกันภัยจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยพร้อมกัน

เป็นเงิน 1,200 บาท ผู้เอาประกันภัยต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายหรือไม่

3. บริษัทฯ รับทำกรมธรรม์ประกันภัยโดยตกลงค่าเบี้ยประกันภัยเป็นเงิน 700 บาท ต่อมามี

การตกลงเพิ่มเบี้ยประกันภัยอีก 500 บาท หากมีการชำระค่าเบี้ยประกันภัยทั้งจำนวนหรือแบ่งชำระเป็น

คราว ๆ ผู้เอาประกันภัยต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายหรือไม่ และจากฐานใด

4. กรณีบริษัทฯ ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้เกิน เช่น ค่าเบี้ยประกันภัยตามกรมธรรม์ไม่ถึง

1,000 บาท แต่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้แล้ว บริษัทฯ จะนำภาษีที่ถูกหักไว้ดังกล่าวมาเป็น

เครดิตภาษีในการคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทฯ ได้หรือไม่


กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528ฯ

แนววินิจฉัย

1. เงินค่าซ่อมรถยนต์เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทค่าจ้างทำของตามมาตรา 40(8) แห่ง

ประมวลรัษฎากร อันอยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 8 ของ

คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่ง

ประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2528 ตามข้อ 4 ของ

เอกสารแนบตารางกรมธรรม์ประกอบกับข้อ 4 ของคำสั่งนายทะเบียนกรมการประกันภัย มีข้อความระบุ

ว่า “ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนแรกเอง... บริษัทจะจ่ายแทนผู้เอาประกันภัย

ไปก่อน... ผู้เอาประกันภัยต้องใช้คืนให้บริษัทภายใน 7 วันนับแต่ได้รับหนังสือเรียกร้องจากบริษัท” เมื่อ

บริษัทฯ ได้ชำระค่าซ่อมรถยนต์ไปก่อนแล้วจึงมีสิทธิเรียกคืนจากบริษัท ก. ตามกรมธรรม์ จึงเป็นกรณีที่

บริษัทฯ ได้กระทำการแทนบริษัท ก. ผู้เอาประกันภัยในส่วนของการชำระเงินค่าซ่อมรถยนต์ที่

ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบเอง บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามข้อ 8 ของ

คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.2528 เมื่อบริษัทฯ เรียกเก็บค่า

ซ่อมรถยนต์ที่จ่ายแทนบริษัท ก. ไปก่อนดังกล่าวนี้คืน บริษัท ก. ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแต่

อย่างใด

2. กรณีบริษัทฯ รับทำกรมธรรม์ประกันภัยกับผู้เอาประกันภัยรายเดียวกันหลายกรมธรรม์ โดย

ค่าเบี้ยประกันภัยแต่ละฉบับไม่เกินหนึ่งพันบาทและผู้เอาประกันภัยจ่ายเบี้ยประกันภัยพร้อมกันเป็น

จำนวนเงินตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป เป็นกรณีการทำสัญญาที่ผู้จ่ายเงินรายหนึ่งรายใดทำสัญญาในลักษณะ

ทำนองเดียวกันหลาย ๆ สัญญากับผู้รับเงินรายเดียว ซึ่งแต่ละสัญญามีจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท แต่จ่ายเงิน

หลาย ๆ สัญญาดังกล่าวรวมกันเป็นจำนวนตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไปผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ใน

อัตราร้อยละ 1.0 ตามข้อ 12/3 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน

พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.101/2544 ฯ ลงวันที่ 27 มิถุนายน

พ.ศ. 2544 ประกอบกับข้อ 1(4) ของคำชี้แจงกรมสรรพากร เรื่อง การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตาม

คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.101/2544 ฯ ลงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2544

3. กรณีที่ทำสัญญาประกันภัยโดยตกลงค่าเบี้ยประกันภัยเป็นเงินจำนวน 700 บาท แล้วต่อมามี

การสลักหลังในกรมธรรม์ฉบับเดียวกันเพิ่มเบี้ยประกันภัยอีก 500 บาท การชำระเบี้ยประกันภัยตาม

สัญญาประกันภัยฉบับดังกล่าว จึงเป็นการชำระเงินตามสัญญาที่มีจำนวนเงินตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป ตามข้อ

12/5 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไข

เพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 ฯ ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544 ดังนั้น เมื่อ

ผู้เอาประกันภัยชำระค่าเบี้ยประกันภัยในครั้งต่อมาหลังจากสลักหลังเพิ่มเงินค่าเบี้ยประกันภัยแล้ว จึงมี

หน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไม่ว่าการจ่ายเงินในครั้งนั้น ๆ จะชำระพร้อมกันทั้งจำนวนตั้งแต่หนึ่ง

พันบาทหรือแบ่งกันชำระแล้วจะไม่ถึงหนึ่งพันบาท โดยผู้เอาประกันภัยต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ใน

อัตราร้อยละ 1.0 ของจำนวนเงินค่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายจริงในครั้งนั้น ๆ

4. กรณีการจ่ายเงินตามสัญญารายหนึ่ง ๆ มีจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท ผู้จ่ายเงินได้ไม่มีหน้าที่

ตามกฎหมายที่จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งอย่างไรก็ตาม หากผู้จ่ายเงินได้ทำการหักภาษีเงินได้ ณ

ที่จ่าย จากยอดเงินในกรณีดังกล่าวไว้และนำส่งต่อกรมสรรพากรไว้แล้ว ถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมินที่

ผู้ต้องเสียภาษีได้รับตามมาตรา 60 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้มีเงินได้มีสิทธิที่จะเลือกปฏิบัติอย่างใด

อย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ

1) ยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่

กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร หรือ

2) ผู้มีเงินได้หากไม่ประสงค์จะขอคืนก็มีสิทธิใช้เป็นเครดิตภาษีในการคำนวณภาษีเงินได้

สำหรับปีภาษีหรือรอบระยะเวลาบัญชีที่หักไว้นั้นตามมาตรา 3 เตรส ประกอบกับมาตรา 60 แห่ง

ประมวลรัษฎากร




ที่มา:

หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0706(กม.09)/514 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2546

Get notified when new articles are added to the knowledge base.

Powered by PHPKB (Knowledge Base Software)