จ่ายเงินได้ไปต่างประเทศ ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีชำระเงินค่าซอฟแวร์ไปต่างประเทศ
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีชำระเงินค่าซอฟแวร์ไปต่างประเทศข้อเท็จจริง1. บริษัท A. เป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศอินเดีย และไม่มี สำนักงานสาขาหรือตัวแทนในประเทศไทย ได้ขายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ "PROMIS" Software ให้แก่ บริษัท B. ในประเทศไทย โดยมีรายละเอียดและราคาปรากฏตามใบสั่งซื้อและหนังสือของ B. ที่ DMS01-L056 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2544 ดังนี้ 1.1 รายการ 60 Special Lan Price for บริษัท B. MV Div. (USD 22,500.-) โดยพื้นฐานเป็น Software มาตรฐานเพื่อการเขียนแบบวงจรควบคุมทางไฟฟ้า ซึ่งทาง บริษัท B. ได้ขอให้มีการปรับเพิ่มความสามารถบางประการของโปรแกรม (ตามรายการที่ 90) เพื่อให้ สนองความต้องการจำเพาะของ บริษัท B. เช่น การสร้าง Graphical Terminal Plan เป็นต้น 1.2 รายการ 70 Promis Programming Language (PPL) (USD 1,000.-) PPL เป็น In-house programming language ของ บริษัท B. ถือเป็น Software ตัวหนึ่งซึ่ง พัฒนาขึ้นเพื่อการทำ Customization program ตามความต้องการจำเพาะบางอย่างที่ไม่รวมอยู่ใน Software มาตรฐาน 1.3 รายการ 80 Installation and Training Charges (USD 1,145.-) ทาง บริษัท A.ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาติดตั้งและฝึกอบรมให้แก่พนักงานบริษัท B. ในขณะนี้บริษัท A. ยังไม่มีตัวแทนอยู่ในประเทศไทย 1.4 รายการ 90 Customization Charges (USD 7,100.-) เป็นการปรับใน ตัว Software พื้นฐาน โดยทำสำเร็จจากประเทศอินเดีย มีการปรับแก้ภายหลังเพียงเล็กน้อย 1.5 รายการ 100 Software Update and Hotline Support Contract (SUHLSC) = AMC (USD 4,950.-) เป็นการรองรับการ Update โปรแกรมที่อาจมีในโอกาสต่อไป AMC ไม่ได้เป็น Software 2. บริษัท B. ผู้ซื้อได้โอนเงินชำระค่าซอฟต์แวร์ให้แก่ บริษัท A. พร้อมหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ในอัตราร้อยละ 15 ตามมาตรา 40(3) ประกอบกับมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร และนำส่ง ภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และขอให้กรมสรรพากรออกหนังสือรับรองการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายฉบับภาษา อังกฤษ เพื่อเป็นหลักฐานส่งให้แก่ บริษัท A.ซึ่งสำนักงานสรรพากรภาค 5 ได้ออกหนังสือรับรองฯ ฉบับ ภาษาอังกฤษให้แก่ บริษัท B. แล้ว 3. บริษัท A. โต้แย้งว่าค่าซอฟต์แวร์ที่ตนได้รับจากบริษัทผู้ซื้อไม่สามารถถือเป็นค่าสิทธิได้ทั้ง จำนวน และไม่อยู่ในบังคับตามข้อ 12 และข้อ 7 แห่งอนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐ อินเดียเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจาก เงินได้ (อนุสัญญาฯ) จึงขอหารือเกี่ยวกับปัญหาการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามอนุสัญญาฯ กรณีการได้ รับชำระค่าซอฟต์แวร์จากบริษัทผู้ซื้อในประเทศไทยดังต่อไปนี้ 3.1 กรณีที่ บริษัท B. ผู้ซื้อได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ของเงินค่า Software ที่ชำระให้แก่ บริษัท A.นั้น ได้กระทำตามข้อบทใดแห่งอนุสัญญาฯ 3.2 กรณีหาก บริษัท A.ไม่มีภาระทางภาษีหรือไม่มีภาษีเงินได้ที่จะต้องชำระให้แก่รัฐบาล อินเดีย สำหรับปี 2544-2545 แล้ว ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่ชำระไว้เกินจะมีการแก้ไข หรือ บริษัท A. จะขอคืนเงินภาษีที่ถูกหักไว้ดังกล่าวได้อย่างไร กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาตรา 70แนววินิจฉัย1. ค่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) เข้าลักษณะเป็นค่าแห่งลิขสิทธิ์ที่จัดเป็น เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(3) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ถือเป็นงาน วรรณกรรมตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ดังนั้น ค่าตอบแทนในการใช้โปรแกรม "PROMIS" Software ซึ่งรวมถึงค่าติดตั้งและค่าฝึกอบรมวิธีการใช้โปรแกรม ค่าปรับแต่งโปรแกรมตาม ความต้องการของลูกค้า การทำ Update โปรแกรม และค่าปรึกษาแนะนำสายด่วนทางโทรสารหรือ โทรศัพท์ จึงเข้าลักษณะเป็นค่าตอบแทนการใช้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม ซึ่งถือเป็นค่าสิทธิ (Royalties) ตามข้อ 12 แห่งอนุสัญญาฯ เมื่อ บริษัท B. จ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวให้แก่ บริษัท A. ซึ่งไม่มีสำนักงานสาขาหรือตัวแทนในประเทศไทย อันจะถือได้ว่าเป็นสถานประกอบการถาวรของตนแล้ว บริษัท B. จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 15 ของเงินที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่ง ประมวลรัษฎากร และข้อ 12 วรรค 2 แห่งอนุสัญญาฯ ซึ่งหาก บริษัท B. ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายดังกล่าว ไว้ถูกต้องแล้ว บริษัท A. ก็ไม่มีสิทธิขอคืนภาษีจากประเทศไทย แต่อย่างใด 2. กรณีตาม 3.2 เมื่อรัฐบาลไทยมีสิทธิเรียกเก็บภาษีโดยชอบตามข้อ 12 วรรค 2 แห่ง อนุสัญญาฯ ประกอบกับมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร และ บริษัท B. ได้หักภาษีเงินได้จาก ค่าตอบแทนดังกล่าว และนำส่งโดยถูกต้องแล้ว แม้ว่าบริษัท A. จะไม่มีภาระภาษีหรือไม่มีภาษีเงินได้ที่ ต้องชำระให้แก่รัฐบาลอินเดีย สำหรับปี 2544-2545 ก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิขอคืนเงินภาษีดังกล่าวจาก ประเทศไทยแต่อย่างใด ส่วนภาษีที่ บริษัท A. ถูก บริษัท B. หักไว้ในประเทศไทย จะถือเป็นเครดิตต่อ ภาษีอินเดียของ บริษัท A. ในประเทศอินเดียหรือไม่ อย่างไร มิใช่ประเด็นที่กรมสรรพากรแห่งรัฐบาล ไทยจะต้องพิจารณา ที่มา:หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0811/3718 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 |