Skip to Content

ค่าบริการ ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการจ่ายค่าบริการที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้า

เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการจ่ายค่าบริการที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้า


ข้อเท็จจริง

ธนาคารหารือเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของค่าบริการที่ธนาคาร

เรียกเก็บจากลูกค้า ดังนี้

1. กรณีธนาคารรับชำระค่าบริการต่างๆ จากลูกค้าโดยเรียกเก็บค่าบริการจากลูกค้าโดยการ

หักบัญชีเงินฝากที่ลูกค้ามีอยู่กับธนาคารโดยอัตโนมัติ ลูกค้าจึงไม่สามารถหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายได้ในทันที

ที่จ่ายค่าบริการ (ทันทีที่ธนาคารหักบัญชีเงินฝากของลูกค้า) โดยลูกค้าจะติดต่อธนาคารเพื่อขอหักภาษี ณ

ที่จ่ายในภายหลัง และอาจทำให้ลูกค้ามีปัญหาในการออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่ง

ภาษีหัก ณ ที่จ่ายไม่ทันตามเวลาที่กฎหมายกำหนด

2. กรณีธนาคารจะดำเนินการให้ลูกค้าแต่งตั้งให้ธนาคารเป็นตัวแทนเพื่อดำเนินการหัก

ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และลงลายมือชื่อใน

หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย พร้อมทั้งยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและชำระภาษีเงินได้หัก

ณ ที่จ่ายแทนลูกค้าผู้จ่ายเงิน โดยทำสัญญาตั้งตัวแทนและมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งธนาคารใน

ฐานะตัวแทนต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นรายฉบับทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินแทนลูกค้า

แต่ละราย และต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในนามของลูกค้าแต่ละราย แต่เนื่องจากธนาคารมี

ลูกค้าเป็นจำนวนมาก จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำสัญญาตั้งตัวแทนและมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรกับลูกค้า

ทุกรายและไม่อยู่ในวิสัยที่จะออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายในนามลูกค้าแต่ละรายเป็นรายฉบับ

ทุกครั้งที่มีการจ่ายเงิน และไม่อยู่ในวิสัยที่จะยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในนามของลูกค้าแต่ละ

รายได้ ธนาคารจึงขอผ่อนผันวิธีการปฏิบัติในเรื่องภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย โดยขออนุโลมใช้หลักเกณฑ์

เดียวกับค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่ธนาคารเรียกเก็บจากร้านค้าผู้รับบัตรเครดิต โดยขอใช้หลักเกณฑ์

ดังกล่าวกับบริการอื่นของธนาคารซึ่งธนาคารมีความพร้อมและได้รับความยินยอมจากลูกค้า


กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 40(8), มาตรา 17, มาตรา 50 ทวิ วรรคสาม, มาตรา 60

แนววินิจฉัย

1. กรณีลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นจ่ายค่าบริการให้กับ

ธนาคารโดยเป็นการจ่ายผ่านระบบการหักเงินจากบัญชีธนาคารของผู้จ่ายเงิน การจ่ายค่าบริการที่เป็น

เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ลูกค้ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน

ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.

2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 ฯ ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.

2544 และลูกค้ามีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้กับธนาคาร ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย

ในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย อย่างไรก็ดี เนื่องจากลูกค้าจ่ายค่าบริการผ่านระบบการหักเงิน

จากบัญชีธนาคาร ทำให้ลูกค้าของธนาคารไม่สามารถออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ทันภายใน

เวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระการออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายของลูกค้า

จึงผ่อนผันให้ลูกค้าซึ่งมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไม่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย

สำหรับการจ่ายค่าบริการในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยให้ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ

ที่จ่าย 1 ครั้งต่อเดือน แต่ลูกค้ายังคงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินได้ ทั้งนี้

ตามมาตรา 50 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร

2. กรณีธนาคารจะดำเนินการให้ลูกค้าซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าบริการ แต่งตั้งให้ธนาคาร ซึ่งเป็นผู้ถูก

หักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นตัวแทนเพื่อดำเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ

ที่จ่าย และลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนผู้จ่ายเงิน พร้อมทั้งยื่นรายการ

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแทนผู้จ่ายเงิน ก็สามารถกระทำได้ โดยจะ

ต้องจัดทำสัญญาการตั้งตัวแทนและมอบอำนาจให้กระทำการแทนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ ธนาคารซึ่งเป็น

ตัวแทนจะต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายในนามของลูกค้าและต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก

ณ ที่จ่ายในนามของลูกค้า หากธนาคารได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนเพื่อดำเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

แทนลูกค้าหลายๆ ราย ธนาคารจะต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นรายฉบับทุกครั้งที่จ่าย

เงินและต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในนามของลูกค้าเป็นรายฉบับแต่ละรายลูกค้าด้วย

อย่างไรก็ดี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ธนาคารมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำ

สัญญาการตั้งตัวแทนและมอบอำนาจให้กระทำการแทนเป็นลายลักษณ์อักษร และไม่อยู่ในวิสัยจะออก

หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในนามของลูกค้าเป็นรายฉบับทุกครั้งที่มีการจ่ายเงิน และไม่อยู่ใน

วิสัยจะยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในนามของลูกค้าเป็นรายฉบับ จึงให้ธนาคารดำเนินการดังนี้

2.1 กรณีธนาคารได้มีหนังสือแจ้งไปยังลูกค้ารายเดิมของธนาคารโดยมีสาระสำคัญว่า

ธนาคารจะเป็นผู้ดำเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของค่าบริการแทน ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ

ที่จ่ายแทน และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแทน โดยกำหนดระยะเวลาให้ลูกค้าตอบรับ เมื่อลูกค้า

ตอบรับแล้ว ถือว่าหนังสือแจ้งเป็นข้อตกลงแต่งตั้งให้ธนาคารเป็นตัวแทนแล้ว แต่หากเป็นลูกค้าใหม่จะต้อง

มีข้อกำหนดการแต่งตั้งตัวแทนอย่างชัดเจน

2.2 กรณีธนาคารหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับค่าบริการแทนลูกค้าแล้ว ผ่อนผันให้ลูกค้า

ไม่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับการจ่ายค่าบริการให้กับธนาคารในทันทีทุกครั้งที่มี

การหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งทำให้ธนาคารไม่ต้องออก

หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นรายฉบับทุกครั้งที่จ่ายเงิน แต่ธนาคารต้องจัดทำรายละเอียด

รายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซึ่งมีรายการเช่นเดียวกับรายละเอียดที่ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต -

สมาคมธนาคารไทยได้จัดทำขึ้นประกอบการพิจารณาของกรมสรรพากรเพื่อเป็นหนังสือรับรองการหักภาษี

ณ ที่จ่าย แต่ธนาคารยังคงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินได้ และให้ธนาคาร

ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย การจัดทำบัญชีพิเศษแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่าย

ตามมาตรา 17 แห่งประมวลรัษฎากร และการใช้สำเนาแบบ ภ.ง.ด.53 และหลักฐานใบเสร็จรับเงิน

ของกรมสรรพากรที่รับชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นหลักฐานในการเครดิตภาษีตามมาตรา 60 แห่ง

ประมวลรัษฎากร เช่นเดียวกับแนวปฏิบัติที่กรมสรรพากรแจ้งให้ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต-สมาคมธนาคาร

ไทยทราบ




ที่มา:

หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0811/ก.597 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2545

Get notified when new articles are added to the knowledge base.

Powered by PHPKB (Knowledge Base Software)