ขอคืนภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการตรวจคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ตามคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร (แบบ ค.10)
เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการตรวจคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ตามคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร (แบบ ค.10)ข้อเท็จจริงด้วยศูนย์ บ. หารือเกี่ยวกับการตรวจคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่ จ่าย ตามคำร้องขอคืนภาษีอากร (แบบ ค.10) ราย บริษัท ส. โดยมีข้อเท็จจริงดังนี้ บริษัท ส. ได้ว่าจ้าง นาย ว. เป็นพนักงานขับรถในอัตราเงินเดือน ๆ ละ 5,400.- บาท ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2542 ต่อมาในวันที่ 27 เมษายน 2542 บริษัทฯ บันทึกข้อมูลคอมพิวเตอร์ผิดพลาด ทำให้นาย ว. ได้รับเงินเดือนจำนวน 533,400.- บาท ซึ่งเป็นเงินเดือนที่เกินกว่าที่ควรจะได้รับจริง เมื่อหักภาษี ณ ที่จ่าย จำนวน 145,200.- บาท และเงินประกันสังคมจำนวน 300.- บาท แล้ว นาย ว. ได้รับเงินเดือนสุทธิฯ จำนวน 387,900.- บาท โดยบริษัทฯ ได้ออกหนังสือรับรอง การหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับเงินเดือนที่นาย ว. ได้รับจำนวน 533,400.- บาท เป็น ภาษีหัก ณ ที่จ่ายจำนวน 145,200.- บาท เมื่อนาย ว. ได้รับเงินเดือนดังกล่าวแล้ว ได้หลบหนีไป บริษัทฯ ได้แจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับนาย ว. เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2542 และศาลได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 ให้นาย ว. คืนเงินเต็มจำนวนและพิพากษาจำคุก 1 ปี 6 เดือน แต่ให้รอการลงอาญา 2 ปี จาก กรณีดังกล่าวบริษัทฯ เห็นว่า นาย ว. เพิ่งมาทำงานได้ 2 เดือน ไม่น่าจะยื่นแบบ แสดงรายการ ภ.ง.ด.90 หรือแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.91 เพื่อขอคืนภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา เงินเดือนที่บริษัทฯ จ่ายให้แก่นาย ว. นั้น ควรเป็นค่าใช้จ่ายของ บริษัทฯ เพียง 5,400.- บาท บริษัทฯ จึงยื่นแบบ ค.10 เพื่อขอคืนภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย จำนวน 145,200.- บาท กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาตรา 27 ตรี มาตรา 39 มาตรา 40(1) มาตรา 63 และมาตรา 65(12)(13)แนววินิจฉัย1. ค่าใช้จ่ายเงินเดือนของนาย ว. กรณีพนักงานฯ ได้รับเงินเดือนซึ่งเป็นเงินเดือนเกินกว่าจำนวนที่ควรได้รับ จริงจากบริษัทฯ แล้วไม่นำส่งมอบคืนให้บริษัทฯ โดยเมื่อได้รับเงินแล้วได้หลบหนีไป ถือเป็นการเบียดบังนำเงินเดือนส่วนที่เกินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นผล เสียหายต่อกิจการของบริษัทฯ ซึ่งเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวล รัษฎากร ที่นาย ว. ควรจะได้รับจริงในแต่ละเดือนจึงจะถือเป็นเงินได้พึงประเมิน เนื่องจากสัญญาจ้างแรงงานของนาย ว. ต่อมานาย ว. ได้รับเงินได้ พึงประเมินจากการยักยอกเงินของบริษัทฯ จึงถือว่า เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตาม คำนิยามของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร นาย ว. ต้อง นำเงินได้นั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ด้วย ดังนั้น กรณีรายจ่ายในการ คำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทฯ ในกรณีดังกล่าวจึงแยก พิจารณาได้ดังนี้ 1.1 กรณีค่าใช้จ่ายเงินเดือนของนาย ว. ที่บริษัทฯ จ่ายให้เนื่องจากการ จ้างแรงงานในแต่ละเดือนตามปกติ บริษัทฯ มีสิทธินำมาหักเป็นรายจ่ายในการ คำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร 1.2 กรณีค่าใช้จ่ายค่าจ้างแรงงานในส่วนที่จ่ายเกินไปให้แก่นาย ว. หาก บริษัทฯ ไม่มีประกันหรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ และบริษัทฯ มีหลักฐานแสดงได้ว่า ความเสียหายดังกล่าวได้เกิดขึ้นจริงบริษัทฯ สามารถนำผลเสียหายดังกล่าวมาถือ เป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่ความเสียหายเกิดขึ้นได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (12) แห่งประมวลรัษฎากร แต่เมื่อบริษัทฯ ได้รับเงินที่ถูกยักยอกไปคืนมา เมื่อใดจะต้องถือเป็นรายได้ของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น 2. ผู้มีสิทธิขอคืนภาษี กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้เสียภาษีเกินไปกว่าจำนวนที่ต้องเสีย เนื่องจาก ผู้จ่ายเงินได้ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้เกินไป หรือหักภาษีไว้โดยไม่มีหน้าที่ต้องหัก หรือผู้มีหน้าที่เสียภาษีชำระภาษีเกินไปโดยความเข้าใจผิด หรือคำนวณภาษีเกินไป กว่าจำนวนที่ต้องเสีย เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 27 ตรี และมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ผู้มีสิทธิขอคืนหมายความว่า (1) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีซึ่งได้ชำระภาษีอากรไว้เกิน หรือผิด หรือซ้ำ (2) ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้เกิน และหรือมีภาษีเกินเนื่องจากได้รับการ เครดิตภาษี (3) ผู้ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีแต่ชำระภาษีไว้ หรือถูกหักภาษีไว้ไม่ว่าด้วยเหตุ ใด ๆ (4) ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ที่นำเงินของตนเองส่งภาษีไว้ผิดหรือซ้ำ (5) ผู้เสียประโยชน์จากการชำระหรือนำส่งภาษีไว้เกินหรือผิดหรือซ้ำ หรือ โดยไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ในการขอคืนเงินภาษีอาจมีปัญหาว่า ผู้ใดจะเป็นผู้มีสิทธิขอคืนเงินภาษีที่ถูก หักไว้เกินนั้น กล่าวคือ ผู้จ่ายเงินได้หรือผู้มีเงินได้ที่ถูกหักภาษีไว้ ปัญหานี้เมื่อ พิจารณาตามสิทธิของบุคคลที่จะพึงได้รับเงินคืนแล้วน่าจะต้องเป็นตัวผู้มีเงินได้ที่ถูก หักภาษีไว้เพราะเป็นผู้ถูกกระทบกระเทือนสิทธิโดยตรงจึงมีสิทธิเรียกร้องขอเงินคืน ส่วนนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินเป็นเพียงผู้จ่ายเงินได้เท่านั้นไม่มีข้อผูกพันกับเงินได้ที่หัก และนำส่งไว้แล้ว ฉะนั้น ถ้าหากนายจ้างจะขอคืนก็จะต้องได้รับมอบอำนาจจากตัวผู้ มีเงินได้จึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมาย เว้นแต่ กรณีนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินได้นำเงิน ของตนส่งไว้เกิน ส่งผิดหรือส่งซ้ำซึ่งนายจ้างย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนเงินได้เอง กรณีตามข้อเท็จจริง เงินเดือนที่นาย ว. ได้รับเมื่อคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่มีภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย และนำส่งแต่ อย่างใด การที่บริษัทฯ ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งโดยออกหนังสือรับรองการหัก ภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินเดือนรวมทั้งส่วนที่ได้รับเกินกว่าที่ควรจะได้รับจริงจาก บริษัทฯ นั้น ถือว่า บริษัทฯ ได้นำเงินของตนส่งไว้เกิน และข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัทฯ ฟ้องนาย ว. ในกรณีเบียดบังนำเงินเดือนส่วนที่เกินไปใช้เป็นประโยชน์ ส่วนตัว ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้นาย ว. คืนเงินเต็มจำนวน โดยไม่ปรากฏ ข้อเท็จจริงว่า นาย ว. ได้คืนเงินให้บริษัทฯ แล้วหรือไม่ กรณีถือได้ว่า บริษัทฯ เป็น ผู้เสียประโยชน์โดยตรงจากการนำส่งภาษีโดยไม่มีหน้าที่ต้องเสีย บริษัทฯ จึงมีสิทธิ ขอคืนภาษีดังกล่าวได้ในนามของบริษัทฯ เฉพาะในส่วนที่บริษัทฯ ได้จ่ายเกินให้แก่ นาย ว. เท่านั้น โดยให้ยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปี นับแต่วันสุดท้ายแห่ง กำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนดตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวล รัษฎากร ที่มา:หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0706(กม.02)/976 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2548 |