Skip to Content

ขอคืนภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการขอคืนเงินภาษี

เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการขอคืนเงินภาษี


ข้อเท็จจริง

1. มีเงินได้จากการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เนื่องจากการผิดสัญญา จะซื้อจะขาย

อสังหาริมทรัพย์เมื่อปี 2536 โดยมิได้นำเงินได้ดังกล่าวยื่นแบบแสดงรายการเจ้าพนักงานประเมินจึง

ประเมินให้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จึงได้อุทธรณ์การประเมินดังกล่าวต่อ

คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ได้นำเงินได้

ดังกล่าวไปยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามของคณะบุคคลพร้อมกับได้ชำระ

ภาษี ต่อมาได้ฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งในชั้นพิจารณาของศาลได้ขอให้นำเงินจำนวนที่ชำระในนามคณะบุคคลมา

หักกลบกับภาษีที่ต้องเสียตามที่เจ้าพนักงานประเมิน ซึ่งได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาถึงที่สุดให้เสียภาษีตามการ

ประเมินของเจ้าพนักงานและไม่ให้นำเงินภาษีที่เสียในนามคณะบุคคลมาหักกลบลบหนี้กัน

แต่เนื่องจากได้นำเงินได้จำนวนเดียวกันนั้นไปยื่นแบบแสดงรายการเสีย

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามของคณะบุคคลด้วย ซึ่งเห็นว่ามีสิทธิที่จะขอคืนเงินได้พร้อมดอกเบี้ย โดย

ถือว่าเป็นกรณีลาภมิควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และไม่อยู่ในบังคับต้องขอคืนภาษีตามที่

กำหนดไว้ในมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร

2. ระหว่างปี พ.ศ. 2536 ได้แบ่งเงินที่ได้รับจากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวให้

แก่บุตร ซึ่งบุตรทุกคนยื่นแบบแสดงรายการภาษีและได้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้แล้ว เห็นว่าบุตร

ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาดังกล่าว จึงได้ยื่นคำร้องขอคืนภาษีไว้ระหว่างวันที่ 1, 2, 8

และ 20 สิงหาคม 2544 ซึ่งสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานครได้มีหนังสือแจ้งไม่คืนเงินภาษีอากร

(ค.30) เนื่องจากได้ยื่นคำร้องขอคืนเกินกว่า 3 ปี นับแต่ยื่นรายการ


กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 27 ตรี

แนววินิจฉัย

การขอคืนภาษีอากรกรณีได้ยื่นรายการเมื่อพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนด ตามมาตรา

27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ขอคืนภาษีอากรไม่ว่าจะเป็นกรณีเสียภาษีไว้เป็นจำนวนเงิน

เกินกว่าที่ควรต้องเสีย หรือที่ไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันที่ได้

ยื่นรายการภาษี การขอคืนภาษีจึงต้องปฏิบัติตามนัยมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากรดังกล่าว ซึ่งเป็น

กฎหมายที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ มิใช่เป็นกรณีการชำระหนี้ทั่วไปที่จะใช้สิทธิตามที่กำหนดไว้ใน

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในเรื่องว่าด้วยลาภมิควรได้ การขอคืนภาษีอากรจึงต้องขอคืนภายใน

สามปีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น

1. กรณีคณะบุคคลได้ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2544 และสำนักงาน

สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 7 ได้อนุมัติคืนเงินภาษีตามหนังสือแจ้งคืนเงินภาษีอากร (ค.20) ลงวันที่

10 กันยายน 2544 ซึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกินสามเดือนนับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร การที่

สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานครไม่สั่งให้ดอกเบี้ยด้วย จึงเป็นการถูกต้องตามที่กำหนดไว้ใน

กฎกระทรวง ฉบับที่ 161 (พ.ศ. 2526) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่

ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร

2. กรณีของบุตรได้ยื่นคำร้องขอคืนภาษีเกินกว่า 3 ปี นับแต่ยื่นรายการ จึงเป็นการยื่นคำร้อง

ขอคืนเกินกว่าระยะเวลาที่จะขอคืนภาษีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร




ที่มา:

หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0706/519 ลงวันที่ 17 มกราคม 2546

Get notified when new articles are added to the knowledge base.

Powered by PHPKB (Knowledge Base Software)