ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการเฉลี่ยค่าใช้จ่าย (Cost Sharing) ให้กับบริษัทในเครือ
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการเฉลี่ยค่าใช้จ่าย (Cost Sharing) ให้กับบริษัทในเครือข้อเท็จจริงคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้อนุมัติให้การส่งเสริมแก่ บริษัท ก. จำกัด ผลิต HardDisk Drive สำหรับคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยเพื่อส่งออก โดยโครงการแรกได้เริ่มเปิด ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2539 บัดนี้ บริษัทฯ ได้มีความประสงค์จะขยายกิจการเพิ่มขึ้นอีกโดยในส่วนขยายจะลงทุนเพิ่มอีก ประมาณ 7,400 ล้านบาท จ้างคนเพิ่มอีกประมาณ 2,370 คน บริษัทฯ ได้แจ้งว่า นับตั้งแต่เปิด ดำเนินการมาเมื่อบริษัทฯ ส่งสินค้าออกไปจำหน่ายต่างประเทศ หากเป็นการจำหน่ายตรงให้กับลูกค้าผู้ใช้ สินค้า บริษัทฯ จะส่งค่า Royalty ให้แก่บริษัท A สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ทำวิจัยและพัฒนา ผลิตภัณฑ์ให้โดยจะชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายให้แก่กรมสรรพากร หากเป็นการส่งไปจำหน่ายให้แก่ บริษัทในเครือของ A บริษัทฯ ไม่ต้องชำระค่า Royalty บริษัทฯ ขอทราบว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2542 เป็นต้นไป บริษัทฯ มีความประสงค์จะ ดำเนินการในเรื่องค่าวิจัยและพัฒนา รวมทั้งค่าลิขสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาที่บริษัท A ที่สหรัฐอเมริกา เป็นผู้ทำให้ในลักษณะการเฉลี่ยค่าใช้จ่าย (Cost Sharing) กับโรงงานอื่น ๆ ในเครือของบริษัท A ทั่วโลก โดยจะคิดรวมเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนสินค้า และจะชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในการส่งเงิน ออกให้แก่กรมสรรพากรก่อนด้วย ทั้งนี้ ตามรายละเอียดในหนังสือของบริษัทฯ พอสรุปได้ดังนี้ 1. SPT จะเป็นผู้ผลิตเต็มรูปแบบ (ต่างจากผู้รับจ้างผลิต ที่จะตั้งราคาโดยบวกเพิ่มจาก ราคาต้นทุนตามที่ได้ถือเป็นสมมติฐานในคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขยายโครงการนั้น) และ ตั้งราคาขายที่ราคาตลาดซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มียอดรายได้ที่สูงขึ้น ทั้งนี้ จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ของประเทศไทยที่กำหนดว่าผู้ส่งออกจะต้องถือว่าได้ขายสินค้าที่ส่งออก ณ วันที่ส่งของออกจากประเทศ และจะต้องบันทึกเป็นยอดขายของบริษัทฯ ณ วันส่งออกนั้นด้วย 2. เนื่องจากในปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ส่งและจำหน่ายสินค้าให้แก่บริษัทในเครือซึ่งตั้งอยู่ ณ ต่างประเทศ และบริษัทในเครือได้จำหน่ายสินค้าต่อไปยังลูกค้า OEM ดังนี้ ตามระบบวิธีการปฏิบัติของ A ทั่วโลกจะกำหนดให้บริษัทในเครือเป็นผู้ชำระค่า Royalty ให้แก่บริษัทแม่โดยตรง นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 A จะเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติในการคิดและเรียกเก็บ ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาสินค้า (R&D) รวมทั้งค่าลิขสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา (IP) โดยจะคิด รวมเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนสินค้าและจะถือปฏิบัติเช่นเดียวกันทั่วโลก 2.1 หน่วยธุรกิจ SSD ของทาง A ซึ่งรวมถึง SPT, โรงงานในประเทศสิงคโปร์, ประเทศฮังการี,ประเทศจีน และในประเทศสหรัฐอเมริกา จะเข้าร่วมในสัญญา R&D Cost Sharing ร่วมกัน และร่วมกับหน่วยพัฒนาด้วยหลักการ R&D Cost Sharing นี้ เป็นวิธีที่ยอมรับกันโดยทั่วไปและ โรงงานต่าง ๆ ทั่วโลกจะร่วมกันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดจากการวิจัยและพัฒนาสินค้า (โดยไม่มี การบวกกำไรเพิ่มแต่อย่างใด) บนฐานและโดยการปันส่วนที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งปกติจะใช้รายได้ของ โรงงานเป็นฐานในการคำนวณค่าใช้จ่ายและการปันส่วนและวิธีการสามารถตรวจสอบได้โดยองค์กรอิสระ เช่น บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี วิธีการดังกล่าวถือเป็นมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับตามกฎหมายภาษีของ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปโรงงานที่เข้าร่วมหลักการดังกล่าวตกลงที่จะ ชำระค่าวิจัยและพัฒนารายปีล่วงหน้าและมีสิทธิที่จะใช้ผลการวิจัยและพัฒนา ค่าวิจัยและพัฒนารวมทั้งค่าใช้ ลิขสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะรวมคำนวณเป็นยอดเดียวกันโดยอาจเฉลี่ยให้ชำระเป็น สัดส่วน ตามกำหนดระยะเวลาเพื่อความสะดวกแก่โรงงานต่าง ๆ ของผู้เข้าร่วมสัญญา cost Sharing และผู้เข้าร่วมสัญญาสามารถจะบอกเลิกสัญญาได้และยังคงใช้สิทธิได้ตามส่วนจำนวนเงินที่ได้ชำระแล้ว 2.2 ภายใต้ประมวลรัษฎากรฉบับปัจจุบัน การชำระเงินตามระบบ Cost Sharing จะทำให้บริษัทฯ ต้องชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ดังนี้ จะยังผลให้เกิดจำนวนรายรับของประเทศจาก ภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนดังนั้น บริษัทฯ จึงจำเป็นที่จะต้องขออนุมัติแก้ไขจากคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุนทั้ง 2 โครงการ เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบใหม่ของการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ด้วย การดำเนินการชำระเงินในระบบ Cost Sharing จะทำให้ผ่อนคลายปัญหาที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ ของบริษัทฯ ในประเทศไทย และเชื่อว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ จะเพิ่มจำนวนรายได้จากการจัดเก็บภาษีดังกล่าวดังนั้น จึงขอทราบว่า การดำเนินการดังกล่าวจะถูกต้อง ตามระเบียบของกรมสรรพากร และควรอนุญาตให้บริษัทฯ ดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวได้หรือไม่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาตรา 65 ตรี (14)แนววินิจฉัย1. ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 13/2529 เรื่อง ภาษีเงินได้ กรณีรายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะตามมาตรา 65 ตรี (14) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2529 วินิจฉัยว่า ในกรณีที่สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นของบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศใด ให้ความช่วยเหลือหรือให้บริการแก่สาขาที่ตั้ง อยู่ในประเทศต่าง ๆ หลายแหล่งรวมทั้งในประเทศไทยด้วย และได้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่สำนักงานใหญ่ หรือสาขาอื่นได้จ่ายไปเพื่อการดังกล่าวไปยังสาขาต่าง ๆ นั้น รายจ่ายที่สาขาในประเทศไทยของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ของต่างประเทศได้จ่ายไปให้สำนักงานใหญ่ หรือสาขาอื่นในต่างประเทศเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการให้ ความช่วยเหลือการให้บริการแก่กิจการของสาขาในประเทศไทย ที่จะนำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณ กำไรสุทธิ และไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (14) แห่งประมวลรัษฎากร นั้น จะต้องเป็นกรณีที่มีหลักฐานชัดแจ้งว่ารายจ่ายดังกล่าว เป็นรายจ่ายที่จ่ายไปโดยเป็นรายจ่ายที่มีลักษณะดัง ต่อไปนี้ (1) รายจ่ายเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือหรือให้บริการของสำนักงานใหญ่ หรือ สาขาอื่นนั้นเกี่ยวกับกิจการของสาขาในประเทศไทย (2) รายจ่ายเกี่ยวกับการค้นคว้าและพัฒนา (Research and Development) โดย สาขาในประเทศไทยจะต้องได้รับบริการหรือได้นำผลการค้นคว้าและพัฒนามาใช้ประโยชน์ในกิจการของ สาขาในประเทศไทยตามความเป็นจริง (3) รายจ่ายใด ถ้าสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นได้นำไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณ กำไรสุทธิของสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นแล้ว จะนำมาถือเป็นรายจ่ายของสาขาในประเทศอีกไม่ได้ (4) รายจ่ายที่สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นเรียกเก็บมายังสาขาในประเทศไทย จะต้อง มีหลักเกณฑ์และวิธีการแบบที่รับรองทั่วไป (Generally Accepted) และต้องถือปฏิบัติเช่นเดียวกับ สาขาในประเทศอื่น และเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ (5) รายจ่ายดังกล่าวจะต้องมิใช่รายจ่ายของสำนักงานใหญ่ หรือสาขาอื่นโดยเฉพาะ เช่น ค่าเช่าที่ทำการ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเครื่องเขียน เครื่องใช้ ค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของ เครื่องมือเครื่องใช้ จำนวนเงิน หลักเกณฑ์ และวิธีการดังกล่าวข้างต้นที่จะนำมาถือเป็นรายจ่ายของสาขา ในประเทศไทยได้จะต้องมีหลักฐานหรือหนังสือรับรองโดยเจ้าหน้าที่ของต่างประเทศที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง หรือโดยบุคคลอื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรเชื่อถือได้ และหลักฐานหรือหนังสือดังกล่าว จะต้องมีรายละเอียด เพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าเป็นรายจ่ายที่จำเป็น และสมควรแก่การดำเนินการธุรกิจของสาขาใน ประเทศไทยตามความเป็นจริง 2. ดังนั้น การเฉลี่ยค่าใช้จ่าย (Cost Sharing) กับโรงงานอื่น ๆ ในเครือของบริษัท A ทั่วโลก ตามที่บริษัทฯ ขอมา หากเข้าเงื่อนไขทำนองเดียวกับที่กล่าวใน 1. ก็อนุมัติให้ดำเนินการได้ ที่มา:หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0811/13043 ลงวันที่ 04 กันยายน 2541 |