ขนส่งระหว่างประเทศ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีรายได้จากการขนส่งระหว่างประเทศ
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีรายได้จากการขนส่งระหว่างประเทศข้อเท็จจริงบริษัทฯ ได้หารือเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีบริษัทฯ มีรายได้จาก การขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ สรุปข้อเท็จจริงได้ ดังนี้ 1. บริษัทฯ จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในรัฐ Delaware ประเทศสหรัฐอเมริกาและได้รับ ใบอนุญาตจาก Federal Aviation Administration ประเทศสหรัฐอเมริกาให้ทำการขนส่งสินค้า ทางอากาศ ปัจจุบันบริษัทฯ ประกอบกิจการรับขนส่งพัสดุทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและในประเทศอื่น ๆ 2. บริษัทฯ ได้เข้ามาตั้งสาขาในประเทศไทยในการดำเนินการด้านการขนส่งสินค้า ระหว่างประเทศ (Cargo) และดำเนินธุรกิจขนส่งพัสดุเร่งด่วนระหว่างประเทศ (International Priority) โดยใช้เครื่องบินของบริษัทฯ เอง ในแต่ละสัปดาห์ บริษัทฯ ได้จัดให้มีเที่ยวบินเพื่อ การขนส่งพัสดุและพัสดุเร่งด่วน จำนวน 5 เที่ยวบินสำหรับขาเข้า และ 5 เที่ยวบินสำหรับขาออก 3. ในการประกอบกิจการในประเทศไทย สาขาในประเทศไทยของบริษัทฯ จะมีรายได้ จากการขนส่งพัสดุทั้งขาเข้าและขาออกตามสัญญารับขนที่สาขาในประเทศไทยทำกับลูกค้า 4. เนื่องจากสาขาในประเทศไทย ให้บริการขนส่งพัสดุแบบเร่งด่วน ซึ่งจะต้องดำเนินการ ด้านพิธีการศุลกากรสำหรับพัสดุที่นำเข้าหรือส่งออกแทนลูกค้าด้วย และโดยที่สาขาในประเทศไทยไม่ สามารถขออนุญาตดำเนินการด้านพิธีการศุลกากรจากกรมศุลกากรได้ เนื่องจากมิใช่บริษัทไทย ดังนั้น สาขาในประเทศไทยจึงได้ว่าจ้างบริษัท Express (Thailand) จำกัด (บริษัท ETL) ซึ่งตั้งขึ้นตาม กฎหมายไทย และได้รับอนุญาตให้ดำเนินการด้านพิธีการศุลกากร เพื่อให้บริการดำเนินการผ่านพิธีการ ศุลกากร ตลอดจนขนส่งพัสดุในช่วงของการขนส่งภายในประเทศไทยให้กับลูกค้า 5. ในการดำเนินการด้านพิธีการศุลกากรดังกล่าว สาขาในประเทศไทยจะออกเงินสำรอง จ่ายล่วงหน้าเพื่อค่าภาษีนำเข้าหรือส่งออกแทนลูกค้า ซึ่งกรมศุลกากรจะออกใบเสร็จรับเงินสำหรับการ ชำระภาษีดังกล่าวในนามของลูกค้า หากเป็นการดำเนินการพิธีการศุลกากรตามวิธีปกติ และในนามของ ETL หากเป็นการดำเนินการพิธีการศุลกากรแบบเร่งด่วน (Express clearance) ค่าภาษีศุลกากร ดังกล่าว สาขาในประเทศไทยจะเรียกเก็บคืนจากลูกค้าตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมทั้งเรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการดำเนินการด้านพิธีการศุลกากรอีกจำนวนหนึ่ง 6. สาขาในประเทศไทยได้หารือว่า กรณีที่สาขาในประเทศไทย เรียกเก็บเงินดังต่อไปนี้ จากลูกค้า เนื่องจากการรับขนพัสดุระหว่างประเทศตามข้อเท็จจริงดังกล่าวสาขาในประเทศไทยจะมี ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ อย่างไร (ก) ค่าขนส่งพัสดุระหว่างประเทศ (ข) ค่าภาษีศุลกากรที่สำรองจ่ายไป และเรียกเก็บคืนตามจำนวนที่จ่ายจริง (ค) ค่าธรรมเนียมการดำเนินการด้านพิธีการศุลกากร กฎหมายที่เกี่ยวข้องพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505, มาตรา 80/1(3), มาตรา 66 วรรคสอง, มาตรา 80แนววินิจฉัยกรณีที่สาขาในประเทศไทยของบริษัทฯ ให้บริการรับขนพัสดุทางอากาศระหว่างประเทศ โดยใช้เครื่องบินของบริษัทฯ เอง ตามข้อเท็จจริงข้างต้นมีภาระภาษีได้ ดังนี้ 1. ในส่วนของค่าบริการรับขนพัสดุระหว่างประเทศ (ก) ภาษีเงินได้นิติบุคคล เนื่องจากค่าบริการรับขนพัสดุระหว่างประเทศตามข้อเท็จจริงดังกล่าว เข้า ลักษณะเป็นเงินได้จากการดำเนินการเดินอากาศยานในการจราจรระหว่างประเทศ ดังนั้น หากบริษัทฯ มีถิ่นที่อยู่ในทางภาษีอากรในประเทศสหรัฐอเมริกา และไม่ถูกจำกัดสิทธิประโยชน์ในการใช้อนุสัญญาตาม ข้อ 18 แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ค่าบริการรับขนดังกล่าว จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยตามข้อ 8 วรรคหนึ่ง (ก) แห่งอนุสัญญาดังกล่าวและมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 (ข) ภาษีมูลค่าเพิ่ม การให้บริการรับขนพัสดุระหว่างประเทศของสาขาในประเทศไทย เข้าลักษณะ เป็นการให้บริการขนส่งระหว่างประเทศโดยอากาศยานที่กระทำโดยผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งได้ รับสิทธิในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1 (3) แห่งประมวลรัษฎากร 2. ในส่วนของค่าภาษีศุลกากร เนื่องจากค่าภาษีศุลกากรจากการนำเข้าหรือส่งออกพัสดุเป็นภาระของลูกค้า ดังนั้น กรณีที่สาขาในประเทศไทยออกค่าภาษีศุลกากรไปก่อน แล้วเรียกเก็บค่าภาษีศุลกากรจากลูกค้าคืนตาม จำนวนที่จ่ายจริง จึงไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้หรือมูลค่าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อย่างใด 3. ในส่วนของค่าธรรมเนียมการดำเนินการผ่านพิธีการศุลกากร (ก) ภาษีเงินได้นิติบุคคล ค่าธรรมเนียมการดำเนินการผ่านพิธีการศุลกากรตามข้อเท็จจริงข้างต้น ไม่เข้า ลักษณะเป็นเงินได้จากกิจการที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการขนส่ง (activities closly connected with the direct operation of aircraft) ดังนั้น เงินได้ดังกล่าว จึงไม่ใช่ส่วน หนึ่งของเงินได้จากการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หากแต่ถือเป็นกำไรจากธุรกิจ ฉะนั้น เมื่อ สาขาในประเทศไทยของบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการกับลูกค้า จึงถือเป็นการที่บริษัทฯ ให้บริการผ่าน สถานประกอบการถาวรในประเทศไทยตามข้อ 5 วรรคสอง แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับ ประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และสาขาในประเทศไทยจึงต้องนำค่าธรรมเนียม ดังกล่าว มารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยตามมาตรา 66 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 7 วรรคหนึ่ง แห่งอนุสัญญาดังกล่าว (ข) ภาษีมูลค่าเพิ่ม การให้บริการดำเนินการผ่านพิธีการศุลกากรตามข้อเท็จจริงดังกล่าว เข้าลักษณะ เป็นการให้บริการโดยผู้ประกอบการตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร และอยู่ในข่ายต้องเสีย ภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร ที่มา:หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0811/1932 ลงวันที่ 13 มีนาคม 2543 |