Skip to Content

ขนส่งระหว่างประเทศ ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย กรณีการขนส่งสินค้าทางทะเล

เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย กรณีการขนส่งสินค้าทางทะเล


ข้อเท็จจริง

สมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (THAI INTERNATIONAL FREIGHT

FORWARDERS ASSOCIATION ) ได้หารือกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีการขนส่ง

สินค้าทางทะเล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้

1. กรณีการขนส่งสินค้าทางทะเลขาออก

1.1 ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 234 (พ.ศ. 2544) ออกตามความในประมวลรัษฎากร

ว่าด้วยภาษีเงินได้ กำหนดให้การจ่ายค่าขนส่งอยู่ในบังคับต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ

1.0 สมาคมฯเข้าใจว่า ค่าขนส่งของการขนส่งสินค้าทางทะเลขาออกหมายถึง ค่าระวาง (Freight)

และประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาออก ได้แก่ ค่า CFS, THC และ B/L fee แต่เจ้าหน้าที่

ปฏิบัติทั้งในส่วนราชการและเอกชนบางรายมีความเข้าใจว่า ค่าขนส่งของการขนส่งสินค้าทางทะเล

ขาออก หมายถึงเฉพาะค่าระวาง (Freight) เท่านั้น

1.2 ผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล

(Freight Forwarder) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 โดยคำนวณจากค่าระวาง

(Freight) และประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาออก ได้แก่ ค่า CFS, THC และ B/L fee

2. กรณีการขนส่งสินค้าทางทะเลขาเข้า

2.1 กรณี Freight Forwarder ในประเทศไทย ได้กระทำการในฐานะเป็น ตัวแทน

ของ Forwarder ในต่างประเทศ เมื่อผู้ใช้บริการ (Consignee) จ่ายค่าระวาง (Freight) และ

ประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาเข้า (CFS, THC, D/O fee, Status Fee) ให้กับ

Freight Forwarder ผู้ใช้บริการไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เนื่องจากเป็นการจ่าย

ค่าขนส่งสินค้าทางทะเลขาเข้า ซึ่งไม่เป็นฐานภาษีในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 67 แห่ง

ประมวลรัษฎากร แต่ผู้ใช้บริการยังมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของ

ค่าบริการ (Handling Charge) ที่จ่ายให้กับ Freight Forwarder

2.2 Freight Forwarder ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าระวาง(Freight)

และประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาเข้า (CFS, THC, D/O fee, Status Fee)เนื่องจาก

ค่าระวางและประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาเข้า ไม่เป็นฐานภาษีในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

ตามมาตรา 79/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ Freight Forwarder มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

จากค่าบริการ (Handling Charge) ในอัตราร้อยละ 7.0

3. สมาคมฯ หารือว่า ความเข้าใจของสมาคมถูกต้องหรือไม่


กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 65, มาตรา 67, มาตรา 79, คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528ฯ

แนววินิจฉัย

1. ฐานภาษีสำหรับการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยสายการเดินเรือไทย และ

สายการเดินเรือต่างประเทศ ซึ่งต้องนำไปรวมคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 และ

มาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.54/2537 เรื่อง

การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดย

เรือเดินทะเล และสำหรับกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล

ลงวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2537 และข้อ 2 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.55/2538 เรื่อง

ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม ฐานภาษีสำหรับการให้บริการรับขนคนโดยสารหรือสินค้าระหว่าง

ประเทศ ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2538 หมายถึงกรณีดังต่อไปนี้

(1) กรณีสายการเดินเรือไทย และสายการเดินเรือต่างประเทศรับขนของให้ผู้รับบริการ

โดยตรง รายได้ที่ต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล หมายถึง รายได้ที่ได้รับหรือพึงได้รับจาก

การรับขนของออกนอกประเทศไทยตามมูลค่าของค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดตามที่ระบุ

ในใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) ไม่ว่าจะเรียกเก็บในหรือนอกประเทศไทย

(2) กรณีสายการเดินเรือไทย และสายการเดินเรือต่างประเทศรับขนของให้ผู้รับบริการ

โดยผ่านผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล (Freight

Forwarder) รายได้ที่ต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล หมายถึง รายได้ที่ได้รับหรือพึงได้

รับจากการรับขนของออกนอกประเทศไทยตามมูลค่าของค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใด

ตามที่ระบุในใบตราส่งสินค้า (บิลออฟเลดิง) ที่สายการเดินเรือไทย หรือสายการเดินเรือต่างประเทศ

ออกให้กับ Freight Forwarder ไม่ว่าจะเรียกเก็บในหรือนอกประเทศไทยดังนั้น กรณีผู้ใช้บริการ

(Shipper หรือ Forwarder) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดตามที่ระบุใน

ใบตราส่งสินค้า (Master Bill of Lading) ให้กับสายการเดินเรือ โดยสายการเดินเรือออก

ใบเสร็จรับเงินในนามผู้ใช้บริการ หรือกรณีเจ้าของสินค้า (Shipper) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียม

และประโยชน์อื่นใดตามที่ระบุในใบตราส่งสินค้าของสายการเดินเรือ (Master Bill of Lading)ให้

กับ Forwarder โดย Forwarder ออกใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้าหรือกรณีผู้ใช้บริการ

(Shipper หรือ Forwarder A) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดตามที่ระบุใน

ใบตราส่งสินค้าของ Forwarder B (House Bill of Lading) ให้กับ Forwarder B โดย

Forwarder B ออกใบเสร็จรับเงินให้กับผู้ใช้บริการ ถือเป็นการจ่ายค่าขนส่งซึ่งอยู่ในบังคับต้องหัก

ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ทั้งนี้ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 234 (พ.ศ. 2544)ฯ และคำสั่งกรมสรรพากร ที่

ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หัก

ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่

ท.ป.104/2544 ฯ ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544

2. กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียมและ

ประโยชน์อื่นใดเนื่องจากการขนสินค้าขาเข้าตามที่ระบุไว้ในบิลออฟเลดิง ให้กับสายการเดินเรือไทย

โดยที่สายการเดินเรือไทยจะต้องนำรายได้ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการรับขนสินค้าขาเข้าไปรวมคำนวณ

เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินจึงมีหน้าที่

ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1.0 ตามข้อ 12/4 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.

4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หัก

ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่

ท.ป.104/2544 ฯ ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544 อย่างไรก็ดี หากปรากฏว่า สายการเดินเรือ

ไทยเป็นสายการเดินเรือที่เข้าลักษณะตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน

ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 314) พ.ศ.2540 ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงิน

ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

3. กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และ

ประโยชน์อื่นใดเนื่องจากการขนสินค้าขาเข้าตามที่ระบุไว้ในบิลออฟเลดิง ให้กับสายการเดินเรือ

ต่างประเทศ โดยที่ค่าขนส่งสินค้าขาเข้าไม่เป็นฐานภาษีในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 67

แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินจึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

4. กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder A) จ่ายค่าบริการเกี่ยวกับการขนส่ง

สินค้าขาออกและการขนส่งสินค้าขาเข้าที่มิได้ระบุไว้ในบิลออฟเลดิงให้กับสายการเดินเรือไทยหรือ

สายการเดินเรือต่างประเทศ หรือ Forwarder B ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหัก

ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการตามข้อ 12/1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่

ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หัก

ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่

ท.ป.104/2544 ฯ ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2544

5. กรณี Freight Forwarder ในประเทศไทยได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทน

เรียกเก็บเงินค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาเข้า ของ

Freight Forwarder ในต่างประเทศ ซึ่ง Freight Forwarder ในประเทศไทยต้องมีหลักฐานหรือ

เอกสารอื่นใดที่มีเนื้อหาแสดงว่ากระทำในฐานะเป็นตัวแทนของ Freight Forwarder ในต่างประเทศ

และ Freight Forwarder ในประเทศไทยออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ กรณีผู้ใช้บริการ

จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดตามที่ระบุในใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading)

ให้กับ Freight Forwarder ถือว่าผู้ใช้บริการจ่ายค่าขนส่งสินค้าขาเข้า ซึ่งไม่เป็นฐานภาษีในการเสีย

ภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ

ที่จ่าย ในส่วนที่กระทำการแทนนั้น แต่ผู้ใช้บริการยังคงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตรา

ร้อยละ 3.0 ของค่าบริการที่ Freight Forwarder ในประเทศไทยได้รับจากการดำเนินการแทนนั้น

6. ผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล

(Freight Forwarder) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยรายได้ที่ต้องนำมารวมคำนวณ

กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 3 ของ

คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.54/2537 ฯ ลงวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2537 หมายถึง รายได้ที่ได้รับหรือ

พึงได้รับจากการให้บริการ โดยให้คำนวณจากค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่ได้มีการ

เรียกเก็บจากผู้รับบริการ หักด้วยค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่ถูกสายการเดินเรือ

เรียกเก็บ

7. ผู้ประกอบกิจการให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือเดินทะเล

(Freight Forwarder) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ใน

อัตราร้อยละ 7.0 จากค่าบริการ ซึ่งค่าบริการที่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษี ตามมาตรา

79 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 4 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.54/2537 ฯ ลงวันที่ 8

ธันวาคม พ.ศ. 2537 หมายถึง มูลค่าของค่าบริการ โดยให้คำนวณจากค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และ

ประโยชน์อื่นใดที่ได้มีการเรียกเก็บจากผู้รับบริการ หักด้วยค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใด

ที่ถูกสายการเดินเรือเรียกเก็บ




ที่มา:

หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0811/10115 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2544

Get notified when new articles are added to the knowledge base.

Powered by PHPKB (Knowledge Base Software)