Skip to Content

การควบรวมกิจการ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการควบกิจการ

เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการควบกิจการ


ข้อเท็จจริง

1. บริษัทฯ ได้หารือแทนลูกค้า กรณีบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด เป็นนิติ

บุคคลจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการ

ส่งเสริมการลงทุน โดยบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด ประกอบกิจการผลิต

เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และมีความประสงค์จะรวมกิจการเข้าด้วยกันด้วยวิธีการควบ

กิจการ โดยบริษัททั้ง 2 จะเลิกกิจการเมื่อมีการควบกิจการแล้ว และตั้งบริษัทจำกัดขึ้น

ใหม่ คือ บริษัท ค จำกัด เพื่อรับโอนกิจการของบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด ที่

ควบรวมกันนั้น ทั้งนี้ ตามมาตรา 1238 ถึงมาตรา 1243 แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง

และพาณิชย์

2. ในการควบกิจการดังกล่าว บริษัท ค จำกัด จะรับโอนทรัพย์สิน หนี้สิน ทุน

ตลอดจนกำไรสะสม (Retained earning) ของบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด

ทั้งนี้ การตีราคาทรัพย์สินที่โอนนั้น บริษัท ค จำกัด จะรับโอนทรัพย์สินตามราคาที่

ปรากฏในบัญชีของบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด ในวันที่ควบเข้ากัน โดย

บริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด ที่ควบเข้ากันจะตีราคาทรัพย์สินตามราคาตลาด

ในวันที่ควบเข้ากัน ตามมาตรา 74(1)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร

3. ตามแผนการควบกิจการนั้น กำไรสะสมจากการประกอบกิจการที่มีอยู่เดิม

ทั้งหมดในบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด จะไม่ได้จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นในสอง

บริษัทดังกล่าว แต่จะถูกโอนไปยังบริษัท ค จำกัด ในทันที ทั้งนี้ จำนวนทุนเรือนหุ้น

ของบริษัท ค จำกัด จะเท่ากับยอดรวมจำนวนทุนเรือนหุ้นของบริษัท ก จำกัด และ

บริษัท ข จำกัด รวมกัน และผู้ถือหุ้นในบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด จะได้รับ

สัดส่วนของหุ้นในบริษัท ค จำกัด ตามอัตราส่วนที่คิดจากส่วนของผู้ถือหุ้น

(Shareholders equity) ที่มีอยู่เดิมในบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด ทันทีเมื่อการ

ควบกิจการแล้วเสร็จ

4. บริษัทฯ จึงหารือว่า

4.1 การโอนกำไรสะสมที่มีอยู่ในบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด ตาม

ข้อ 3.จะถือเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้ถือหุ้นของบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด

หรือไม่ และบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

หรือไม่ และในอัตราเท่าใด ถ้าผู้ถือหุ้นมีทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้าง

หุ้นส่วนนิติบุคคลในประเทศไทยและในต่างประเทศ

4.2 ในกรณีที่ถือเป็นเงินได้ของผู้ถือหุ้นในบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข

จำกัด จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้หรือไม่ อย่างไร

4.3 หากต้องเสียภาษีตามข้อ 4.1 ในขณะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ก จำกัด และ

บริษัท ข จำกัด ไปครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ถือหุ้นของบริษัท ค จำกัด ที่เกิดขึ้นใหม่จากการ

ควบกิจการ (ซึ่งประกอบด้วยผู้ถือหุ้นเดิมในบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด)

จะต้องมีภาระภาษีเงินได้อีกครั้งหรือไม่ อย่างไร และ บริษัท ค จำกัด จะบันทึกบัญชี

กำไรสะสมที่ได้รับโอนมาจากบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด อย่างไร เพื่อให้

ทราบว่า เป็นส่วนที่ผู้ถือหุ้นได้เสียภาษีแล้ว


กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 40(4)(ข), 40(4)(ฉ)

แนววินิจฉัย

กรณีบริษัทควบเข้ากัน และจ่ายเงินได้จากผลกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้น จะทำให้เกิด

เงินได้พึงประเมินดังต่อไปนี้

(1) เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากบริษัทตาม

มาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร

(2)ผลประโยชน์ที่ได้จากการที่บริษัทควบเข้ากัน หรือรับช่วงกันหรือเลิกกันซึ่ง

ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน

ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้เมื่อได้รับเงินได้ที่จ่ายจากผลกำไรตามจริง

(realized income) คือ (1) ผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวล

รัษฎากร ตามจริงหรือ (2) หากมูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ถูกตีราคาเพิ่มสูงขึ้นตามมาตรา

40(4)(ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ถือหุ้นยังไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้จนกว่าจะมี

การขายหุ้นนั้นไป ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัท ก จำกัด และบริษัท ข

จำกัด มีความประสงค์จะควบกิจการ โดยตั้งเป็นบริษัทจำกัดขึ้นใหม่ คือ บริษัท ค

จำกัด ซึ่งบริษัท ก จำกัด และบริษัท ข จำกัด (บริษัทเดิม) จะโอนกำไรสะสมของบริษัท

ไปยังบริษัท ค จำกัด (บริษัทใหม่) โดยบริษัทเดิมไม่ได้จ่ายเงินกำไรสะสมดังกล่าว

ให้แก่ผู้ถือหุ้นตามจริง บริษัทเดิมจึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และผู้ถือหุ้นไม่

มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร




ที่มา:

หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0706/9960 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2548

Get notified when new articles are added to the knowledge base.

Powered by PHPKB (Knowledge Base Software)