พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 731) พ.ศ. 2564 การลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร ลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 731) พ.ศ. 2564 ----------------------------- พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เป็นปีที่ 6 ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ในบางกรณี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา 3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 731) พ.ศ. 2564” มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา 3 ในพระราชกฤษฎีกานี้ “สถานประกอบกิจการ” หมายความว่า สถานที่ซึ่งผู้ประกอบกิจการใช้ประกอบกิจการเป็นประจำหรือสถานที่ซึ่งใช้เป็นที่ผลิตสินค้าเป็นประจำ “เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ” หมายความว่า ท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา มาตรา 4 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ในการหักภาษี ณ ที่จ่าย และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละสามของเงินได้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ผู้มีเงินได้ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ซึ่งเมื่อคำนวณภาษีตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีในอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สูงกว่าร้อยละสามของเงินได้ ทั้งนี้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามวรรคหนึ่ง เมื่อคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายน้อยกว่าร้อยละสามของเงินได้ ให้ผู้มีเงินได้มีสิทธิได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ เมื่อผู้มีเงินได้นั้นยอมให้ผู้จ่ายเงินได้หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละสามของเงินได้นั้ มาตรา 5 ให้ผู้มีเงินได้ซึ่งถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้แล้วในอัตราร้อยละสามของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 4 เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืนหรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ในกรณีที่ผู้มีเงินได้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร ไว้แล้ว และมีสิทธิเลือกเสียภาษีตามมาตรา 48 (3) และ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้มีเงินได้จะมีสิทธิได้รับการยกเว้น ตามวรรคหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าในการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน ผู้มีเงินได้มิได้นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร และเงินได้พึงประเมินที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 4 มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ โดยต้องไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืนหรือไม่ขอเครดิตเงินภาษที่ถูกหักไว้นั้น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ในการได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ผู้มีเงินได้ต้องยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ด้วย มาตรา 6 ผู้มีเงินได้ที่จะได้รับสิทธิตามมาตรา 4 และมาตรา 5 ต้องมีคุณสมบัติและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังนี้ (1) เป็นแรงงานฝีมือหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีประกาศกำหนด (2) เป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานโดยมีระยะเวลาการทำงานไม่น้อยกว่าหนึ่งปีในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจและปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างแรงงานในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นได้แจ้งการจ้างลูกจ้างดังกล่าวต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจก่อนจ่ายเงินได้ให้ลูกจ้างครั้งแรกของการจ้างแรงงาน โดยผู้มีเงินได้ดังกล่าวจะได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่นั้นได้รับแจ้งจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น (3) ก่อนเข้าทำงานกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม (2) เป็นแห่งแรกนับตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ผู้มีเงินได้ต้องมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจและไม่ได้ทำงานอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ หรือกรณีผู้มีเงินได้ได้ทำงานในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจมาก่อนการเข้าทำงานกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม (2) จะต้องเป็นการเข้าทำงานเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่การจ้างงานในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจครั้งก่อนได้สิ้นสุดลง เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการลาออกหรือมีเหตุให้สัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลงและผู้มีเงินได้ได้เข้าทำงานกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม (2) รายใหม่โดยมีระยะเวลาต่อเนื่องจากการจ้างงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม (2) รายเดิม (4) ในปีภาษีที่ผู้มีเงินได้ใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ ผู้มีเงินได้ต้องอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีนั้น โดยต้องมีหลักฐานการอยู่อาศัยที่ได้รับการรับรองจากนายจ้างหรือเจ้าของสถานที่ที่พักอาศัยและเก็บหลักฐานนั้นไว้เพื่อให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบ (5) กรณีประสงค์จะยกเลิกการใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม (2) แจ้งต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ได้แจ้งการจ้างลูกจ้างเพื่อขอใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ (6) ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด มาตรา 7 ให้ผู้มีเงินได้ซึ่งได้รับสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 628) พ.ศ. 2560 กรณีดังต่อไปนี้ และมีคุณสมบัติและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามมาตรา 6 (1) (2) (4) (5) และ (6) ได้รับสิทธิตามมาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกานี้ด้วย (1) ผู้มีเงินได้ที่ยังคงทำงานกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจรายเดิมในวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ (2) ผู้มีเงินได้ที่ได้ลาออกจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจรายเดิม และต่อมาได้เข้าทำงานกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจไม่ว่ารายเดิมหรือรายใหม่ มาตรา 8 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่มีสถานประกอบกิจการอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายจริง ดังนี้ (1) สำหรับเงินลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนซึ่งเป็นการเพิ่มทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่นที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเท่านั้น และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องนำเงินลงทุนไปใช้ในการประกอบกิจการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเท่านั้น (2) สำหรับเงินลงทุนเพื่อจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเท่านั้น และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นนั้นต้องนำเงินลงทุนไปใช้ในการประกอบกิจการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเท่านั้น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับสิทธิยกเว้นตามวรรคหนึ่ง ต้องไม่ขายหรือโอนหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ลงทุน เว้นแต่ได้ขายหรือโอนหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ลงทุนโดยมีเหตุอันสมควรตามที่อธิบดีประกาศกำหนด ทั้งนี้ ต้องเป็นการลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด มาตรา 9 กรณีที่มีการใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้หรือยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้และต่อมาไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 8 ในปีภาษีใดหรือรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้วแต่กรณี ให้มีผลดังนี้ (1) กรณีไม่ปฏิบัติตามมาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 และมาตรา 7 ในปีภาษีใดให้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้เป็นอันระงับไปเฉพาะปีภาษีนั้น (2) กรณีไม่ปฏิบัติตามมาตรา 8 ให้สิทธิที่จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้สิ้นสุดลง และให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ไปแล้วมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธินั้น มาตรา 10 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
------------------------------------------------------------------------------------------------------------- หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากมาตรการส่งเสริมการร่วมกันระหว่างกิจการที่มีศักยภาพนอกเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจกับกิจการที่จัดตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร(ฉบับที่ 628) พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจอย่างต่อเนื่อง สมควรลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้ที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ และยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่อยู่นอกเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจที่ลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
(เล่ม 138 ตอนที่ 73 ก ราชกิจจานุเบกษา 8 พฤศจิกายน 2564)
|